TH | EN


วันที่เพิ่มข้อมูล : 9 october 2560
มีผู้เข้าชมทั้งหมด : 5568 ครั้ง

เปลี่ยนแปลงข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างไม่เป็นคุณแก่ลูกจ้าง

เปลี่ยนแปลงข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างไม่เป็นคุณแก่ลูกจ้าง ลูกจ้างทราบเรื่องโดยตลอดมิ ได้คัดค้าน แต่ลาออกแล้วใช้สิทธิฟ้องเงินตามข้อตกลงภายหลัง ถือว่าใช้สิทธิโดยไม่สุจริตไม่มีอำนาจฟ้อง

 

คำพิพากษาฎีกา 2546 /2552
เปลี่ยนแปลงข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างไม่เป็นคุณแก่ลูกจ้าง ลูกจ้างทราบเรื่องโดยตลอดมิได้คัดค้าน แต่ลาออกแล้วใช้สิทธิฟ้องเงินตามข้อตกลงภายหลัง ถือว่าใช้สิทธิโดยไม่สุจริตไม่มีอำนาจฟ้อง
                               
                      โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด มีจำเลยที่ 3 เป็นกรรมการผู้มีอำนาจทำการแทน เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2520 จำเลยทั้งสามร่วมกันจ้างโจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้าง ครั้งสุดท้ายทำหน้าที่ประจำส่วนงานออกแบบ ได้รับค่าจ้างเดือนละ 16,730 บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันที่ 15 และวันสิ้นเดือน โจทก์ลาออกจากการทำงานตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2546 ในระหว่างทำงานจำเลยทั้งสามปฏิบัติผิดสัญญาจ้างแรงงาน ไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างในเรื่องเงินสะสม ค่าครองชีพ และเงินโบนัสประจำปี โดยจำเลยที่ 1 จัดตั้งกองทุนเงินสะสมให้แก่พนักงาน ตกลงหักค่าจ้างของพนักงานในอัตราร้อยละ 5 ของค่าจ้างทุกเดือนเป็นเงินสะสมและจำเลยที่ 1 ตกลงจ่ายเงินสมทบในอัตราที่เท่ากันเงินสะสมและเงินสมทบจะจ่ายคืนให้เมื่อพนักงานออกจากงาน ในระหว่างเดือนธันวาคม 2540 ถึงเดือนธันวาคม 2541 จำเลยที่ 1 มิได้หักค่าจ้างเป็นเงินสะสมและมิได้จ่ายเงินสมทบ เมื่อโจทก์ลาออกจากงาน ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายได้รับเงินสมทบน้อยกว่าที่ควร ขาดไปเป็นเงิน 4,422 บาท จำเลยที่ 1 ตกลงจ่ายค่าครองชีพให้แก่พนักงานทุกคนเดือนละ 700 บาท ระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2540 ถึงเดือนมีนาคม 2543 จำเลยที่ 1 งดจ่ายค่าครองชีพให้แก่พนักงานที่มีเงินเดือนตั้งแต่ 10,000 บาท ขึ้นไป โดยไม่ได้รับความยินยอมจากลูกจ้าง ทำให้โจทก์ไม่ได้รับค่าครองชีพเป็นเวลา 29 เดือน รวมเป็นเงิน 20,300 บาท นอกจากนี้จำเลยที่ 1 ตกลงจ่ายเงินโบนัสประจำปีให้แก่พนักงานตามหลักเกณฑ์ในข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง คำนวณตามอัตราเงินเดือนคูณด้วยอายุการทำงานของพนักงานแต่ละคน แต่ไม่เกิน 3 เท่าของเงินเดือน ตกลงจ่ายให้ในวันตรุษจีนของแต่ละปี ในกรณีของโจทก์ เมื่อคำนวณแล้วมีสิทธิได้รับเงินโบนัสในอัตรา 3 เท่าของเงินเดือน แต่เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2540จำเลยที่ 1 มีมติงดการจ่ายเงินโบนัสให้แก่พนักงานโดยไม่ได้รับความยินยอมจากลูกจ้างและไม่เป็นคุณกับลูกจ้าง เป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ไม่ได้รับเงินโบนัสประจำปี 2540 และปี 2541 เป็นเงิน 44,200 บาท ในปี 2542 ถึงปี 2545 จำเลยจ่ายเงินโบนัสประจำปีให้โจทก์เท่ากับเงินเดือน 1 เดือน ไม่เป็นไปตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง โจทก์มีสิทธิได้รับเงินโบนัสส่วนที่ขาดของปี 2542 ถึงปี 2545 เป็นเงิน 29,480 บาท  30,960 บาท 31,420 บาท และ 31,740 บาท ตามลำดับ รวมเป็นเงินโบนัสประจำปีตั้งแต่ปี 2540 ถึงปี 2545 ที่โจทก์ไม่ได้รับ 212,040 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันหรือแทนกันจ่ายเงินสะสม 4,422 บาท ค่าครองชีพ 20,300 บาท เงินโบนัสประจำปี 212,040 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
 
 
                          จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ประสบปัญหาทางด้านการเงิน เนื่องจากเกิดสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ ภาวะเงินตกต่ำ โจทก์ในฐานะประธานสหภาพแรงงานทราบดี โจทก์และกรรมการสหภาพแรงงานได้ร่วมประชุมกับคณะกรรมการบริหารของจำเลยที่ 1 เพื่อแก้ไขสถานการณ์ดังกล่าว ที่ประชุมมีมติไม่หักเงินสะสมในช่วงเศรษฐกิจไม่ดีตั้งแต่เดือนธันวาคม 2540 ถึงเดือนธันวาคม 2541 ไม่มีบุคคลใดคัดค้านหรือโต้แย้ง จึงไม่ได้มีการจ่ายเงินสมทบในส่วนของจำเลยที่ 1 โจทก์ไม่เคยเรียกร้องเงินสมทบดังกล่าวเป็นระยะเวลา 6 ปีแล้ว โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ฟ้องโจทก์ในส่วนนี้ขาดอายุความสำหรับค่าครองชีพ เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2540 จำเลยที่ 1 และโจทก์ในฐานะผู้แทนพนักงานกรรมการสหภาพแรงงานได้ร่วมประชุมเพื่อกำหนดและแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ที่ประชุมมีมติงดจ่ายค่าครองชีพให้แก่พนักงานที่มีเงินเดือนตั้งแต่ 10,000 บาทขึ้นไปในที่ประชุมไม่มีบุคคลใดคัดค้าน โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับเงินในส่วนนี้ ค่าครองชีพถือเป็นค่าจ้าง โจทก์ฟ้องเรียกเกินกำหนด 2 ปีแล้ว โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องและฟ้องโจทก์ขาดอายุความ สำหรับเงินโบนัส เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2540 จำเลยที่ 1 โจทก์ในฐานะผู้แทนพนักงาน และกรรมการสหภาพแรงงานได้ร่วมประชุมและมีมติไม่จ่ายเงินโบนัส ในที่ประชุมไม่มีผู้ใดคัดค้าน ในปี 2541 จำเลยที่ 1 มีผลประกอบการไม่ดีจึงไม่จ่ายเงินโบนัสประจำปี 2540 โจทก์ไม่ได้ทวงถามหรือคัดค้าน ต่อมาในปี 2542 ถึงปี 2545 จำเลยที่ 1 จ่ายเงินโบนัสให้แก่พนักงานในอัตราเท่ากับค่าจ้าง 1 เดือน ไม่มีพนักงานคนใดโต้แย้งคัดค้าน ถือได้ว่าสภาพการจ้างเกี่ยวกับเงินโบนัสได้ถูกเปลี่ยนแปลงไปและเป็นธรรมเนียมปฏิบัติตั้งแต่ปี 2542 เป็นต้นมา พนักงานทุกคนได้รับเงินโบนัสเหมือนกันกับโจทก์ โจทก์คำนวณเงินโบนัสตามฟ้องไม่ถูกต้อง ฟ้องโจทก์ในส่วนนี้ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
 
 
                         จำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้การว่า โจทก์ไม่ใช่ลูกจ้างของจำเลยที่ 2 และที่ 3 แต่เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
 
 
                          ระหว่างพิจารณา โจทก์ถอนฟ้องจำเลยที่ 3 ศาลแรงงานกลางอนุญาตและจำหน่ายคดีจำเลยที่ 3 ออกจากสารบบความ
 
 
                          ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
 
 
                          โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
 
 
                          ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์เป็นลูกจ้างจำเลยที่ 1 และที่ 2 ครั้งสุดท้ายทำงานในตำแหน่งพนักงานประจำส่วนงานออกแบบ ได้รับค่าจ้างเดือนละ 16,730 บาท  โจทก์ยังเป็นประธานสหภาพแรงงานผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์เอทีพีต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นสหภาพแรงงานผลิตและประกอบยานยนต์แห่งประเทศไทย นายจ้างกับลูกจ้างมีข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างในเรื่องกองทุนเงินสะสม ค่าครองชีพและเงินโบนัสประจำปี ตามเอกสารหมาย จล.1 ถึงจล.11 วันที่ 17 ตุลาคม 2540 นายจ้างจัดให้มีการประชุมระหว่างผู้บริหารกับพนักงานระดับหัวหน้าตัวแทนสหภาพแรงงาน โจทก์ซึ่งเป็นประธานและกรรมการสหภาพแรงงาน เข้าร่วมประชุมด้วย มีการอธิบายถึงภาพรวามของภาวะเศรษฐกิจโดยทั่วไปในขณะนั้นซึ่งมีผลกระทบอย่างมากต่อจำเลยที่ 1 และที่ 2 เมื่อปรึกษากันแล้วจะใช้มาตรการไม่ลดพนักงานแต่ไม่ขึ้นหรือลดเงินเดือน ไม่จ่ายเงินโบนัส ส่วนค่าครองชีพพนักงานที่มีเงินเดือนต่ำกว่าเดือนละ 9,300 บาท ถึง 9,999 บาท จะได้รับค่าครองชีพในอัตราที่ลดหลั่นกันไปซึ่งเมื่อรวมกับเงินเดือนแล้วไม่เกิน 10,000 บาท ส่วนพนักงานที่ได้รับเงินเดือนตั้งแต่ 10,000 บาทขึ้นไป ให้งดการจ่ายค่าครองชีพ มาตรการดังกล่าวให้ใช้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2540 เป็นต้นไป โดยให้เป็นมาตรการชั่วคราวตามบันทึกการประชุมเอกสารหมาย จล.12 ระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2540 ถึงเดือน มีนาคม 2543 ไม่มีการจ่ายค่าครองชีพให้แก่พนักงานที่มีเงินเดือนเกินกว่าเดือนละ 10,000 บาท และไม่จ่ายเงินโบนัสประจำปี 2540 และปี 2541 แต่มาจ่ายเงินโบนัสประจำปี 2542 ถึงปี 2545 ให้เท่ากับค่าจ้างคนละ 1 เดือน เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2540 มีการประชุมตัวแทนฝ่ายลูกจ้าง หัวหน้างานและตัวแทนฝ่ายบริหารโดยโจทก์เข้าร่วมประชุมด้วยแล้วมีมติร่วมกันให้หยุดงานในเดือนธันวาคม 2540 และเดือนมกราคม 2541 โดยจำเลยที่ 1 จะตัดค่าจ้าง 10 เปอร์เซ็นต์ อีกทั้งไม่หักเงินสะสมในระหว่างที่หยุดงาน 2 เดือน ตามเอกสารหมาย จล.13 วันที่ 21 สิงหาคม 2541 มีการประชุมกันอีกเพื่อความอยู่รอดของบริษัท มีการปิดงานบางแผนกเป็นการชั่วคราวตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2541 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2541 โดยจ่ายค่าจ้าง 50 เปอร์เซ็นต์ สำหรับเงินสะสมก็จะงดเก็บชั่วคราวตามเอกสารหมาย ล.8 จึงมิได้มีการจ่ายเงินสมทบ โจทก์ลาออกตั้งแต่วันที่ 6 มีนาคม 2546 ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยสรุปได้ว่า ข้อตกลงเกี่ยวกับค่าครองชีพและเงินโบนัสประจำปีจะเป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างที่เกิดจากการแจ้งข้อเรียกร้อง แต่ประมาณปลายปี 2539 ถึงกลางปี 2540 เกิดวิกฤตเศรษฐกิจเพื่อความอยู่รอด มีการประชุมผู้บริหาร พนักงานระดับหัวหน้าและตัวแทนสหภาพแรงงาน ตกลงกันไม่จ่ายเงินโบนัสชั่วคราวส่วนค่าครองชีพมีการกำหนดหลักเกณฑ์ในการจ่ายให้แก่พนักงานที่มีเงินเดือนต่ำกว่า 10,000 บาท ไม่มีพนักงานคนใดคัดค้าน ต่อมาให้พนักงานหยุดงาน 2 เดือน โดยตัดค่าจ้าง 10 เปอร์เซ็นต์ หลังจากนั้นมีการปิดงานบางแผนกเป็นการชั่วคราว ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ย่อมถือได้ว่ามีเหตุผลอันสมควรและเพียงพอที่จะขอเปลี่ยนสภาพการจ้างเพื่อความอยู่รอดขององค์กรและเพื่อรักษาสถานภาพความเป็นนายจ้างและลูกจ้างไว้ไม่ให้มีการเลิกจ้าง อีกทั้งในการประชุมไม่มีพนักงานคนใดคัดค้าน จึงถือได้ว่านายจ้างกับลูกจ้างได้ตกลงเปลี่ยนแปลงข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างในเรื่องค่าครองชีพและเงินโบนัสประจำปีเป็นการชั่วคราวในระหว่างที่นายจ้างประสบปัญหาในทางเศรษฐกิจ แม้ว่าข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างที่ทำขึ้นใหม่จะมิได้มีการแจ้งข้อเรียกร้องเป็นหนังสือและปฏิบัติตามขั้นตอนดังที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 แต่ข้อตกลงดังกล่าวก็มิได้มีข้อความขัดต่อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จึงมีผลใช้บังคับกันได้ นายจ้างไม่ต้องจ่ายค่าครองชีพและเงินโบนัสประจำปี สำหรับเงินสะสมนั้นนายจ้างมิได้หักไว้ระหว่างเดือนธันวาคม 2540 ถึงเดือนมกราคม 2541 และเดือนกันยายน 2541 ถึงเดือนธันวาคม 2541 เนื่องจากฝ่ายลูกจ้างร้องขอไม่ให้หักค่าจ้างเป็นเงินสะสมเพราะต้องการได้รับค่าจ้างเต็มจำนวน โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับเงินสะสม  นายจ้างไม่ต้องจ่ายเงินสมทบ
 
 
     คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า การประชุมในวันที่ 17 ตุลาคม 2540 ระหว่างผู้บริหารกับพนักงานระดับหัวหน้างานตัวแทนสหภาพแรงงานซึ่งโจทก์เป็นประธานและกรรมการสหภาพแรงงาน ตามบันทึกการประชุมเอกสารหมาย จล.12 ขัดต่อพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 มาตรา 20 หรือไม่พระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 มาตรา 20 บัญญัติว่า เมื่อข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างมีผลใช้บังคับแล้ว ห้ามมิให้นายจ้างทำสัญญาจ้างแรงงานกับลูกจ้างขัดหรือแย้งกับข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง เว้นแต่สัญญาจ้างแรงงานนั้นจะเป็นคุณแก่ลูกจ้างยิ่งกว่า เห็นว่า บทบัญญัติมาตราดังกล่าวบัญญัติต่อเนื่องจากมาตรา 13 ถึง มาตรา 19 ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับการยื่นข้อเรียกร้องเพื่อขอแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างแล้วมีการเจรจาต่อรองจนตกลงกันได้ มีการทำข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง นายจ้างนำไปจดทะเบียนอันมีผลบังคับทั้งสองฝ่ายแล้วต่อด้วยมาตรา 20 ที่ห้ามนายจ้างทำสัญญาจ้างแรงงานกับลูกจ้างขัดหรือแย้งกับข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างดังนั้นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างตาม มาตรา 20 จึงหมายถึงเฉพาะข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างที่เกิดจากการยื่นข้อเรียกร้องเมื่อข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างตามเอกสารหมาย จล.1 ถึง จล.11 เป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างที่เกิดจากการยื่นข้อเรียกร้อง หากจำเลยที่ 1 และที่ 2 ผู้เป็นนายจ้างประสงค์จะเปลี่ยนแปลงข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง จำเลยที่ 1 และที่ 2 จะต้องแจ้งข้อเรียกร้องต่อลูกจ้างและดำเนินการตามขั้นตอนจนมีข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างฉบับใหม่ดังที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 คดีนี้นายจ้างมิได้แจ้งข้อเรียกร้องเป็นหนังสือ แม้มีการประชุมร่วมกัน เมื่อการแก้ไขเพิ่มเติมข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างไม่เป็นคุณแก่ลูกจ้างยิ่งกว่า ข้อตกลงตามบันทึกการประชุมเอกสารหมาย จล.12 ย่อมขัดต่อมาตรา 20 แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 ข้อเท็จจริงเฉพาะคดีนี้ปรากฏตามที่ศาลแรงงานกลางฟังเป็นยุติว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 ประสบวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจจึงเรียกประชุมพนักงานระดับหัวหน้าตัวแทนสหภาพรวมทั้งโจทก์ซึ่งเป็นประธานและกรรมการสหภาพแรงงานในวันที่ 17 ตุลาคม 2540 แล้วตกลงร่วมกันให้มีการเปลี่ยนแปลงข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างเป็นการชั่วคราวให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2540 เป็นต้นไป วันที่ 24 พฤศจิกายน 2540 มีการประชุมร่วมกันอีกครั้ง มีมติร่วมกันให้หยุดงาน 2 เดือน โดยตัดค่าจ้าง 10 เปอร์เซ็นต์ของทุกคนวันที่ 21 สิงหาคม 2541 ประชุมร่วมกันอีก มีมติร่วมกันให้ปิดงานบางแผนกเป็นเวลา 4 เดือน โดยจ่ายค่าจ้าง 50 เปอร์เซ็นต์ โจทก์และพนักงานคนอื่นไม่ได้โต้แย้งคัดค้านยอมรับการแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างมาโดยตลอด เมื่อโจทก์ลาออกตั้งแต่วันที่  6 มีนาคม 2546 แล้วมาฟ้องเป็นคดีนี้ในวันที่ 16 กรกฎาคม 2547 โจทก์เป็นตัวแทนฝ่ายลูกจ้างภายหลังเป็นประธานและกรรมการสหภาพแรงงานที่ร่วมยื่นข้อเรียกร้องเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างมาโดยตลอด โจทก์ย่อมทราบแล้วว่าถ้าฝ่ายนายจ้างจะเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างที่ไม่เป็นคุณแก่ลูกจ้างยิ่งกว่า นายจ้างต้องดำเนินการตามขั้นตอนที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 เพื่อความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างลูกจ้างกับนายจ้าง โจทก์ควรแจ้งการเรียกประชุมเพื่อเปลี่ยนแปลงข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างที่นายจ้างมิได้กระทำให้ถูกต้องตามกฎหมายให้ฝ่ายนายจ้างทราบเพื่อดำเนินการแก้ไขให้ถูกต้อง โจทก์ปล่อยเวลาให้ผ่านไปจนโจทก์ลาออกแล้วอาศัยสิทธิที่มีอยู่ตามกฎหมายเป็นช่องทางให้โจทก์ได้รับประโยชน์แต่เพียงฝ่ายเดียวโดยไม่คำนึงถึงความเสียหายที่นายจ้างจะพึงได้รับเช่นนี้ ย่อมเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 5 โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องและปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องเกี่ยวกับการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตเป็นข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาย่อมยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246 และมาตรา 247 และประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 31
 
 
       พิพากษายืน
 
ที่มา  http://www.parameelaw.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=539206261&Ntype=3